***********************
1. โภชนาการ หมายถึงอะไร
ตอบ โภชนาการเป็นการคัดเลือกอาหารและเตรียมอาหาร และการย่อยเพื่อให้ร่างกายดูดซึม การทานอาหารเพื่อสุขภาพสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพได้หลายอย่าง
2. อาหารและโภชนาการมีความสัมพันธ์กับร่างกายอย่างไร
ตอบ อาหาร คือ สิ่งที่เราทานเข้าไปแล้วให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ใช้ในการเจริญเติบโต สร้างพลังงาน และสารที่จำเป็นในการทำงานของร่างกาย และซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกายในส่วนที่สึกหรอ
โภชนาการ คือ วิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่ให้ความรู้เกี่ยวกับสารอาหารต่างๆ เมื่อรับประทานจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ คือ ถูกย่อย จาก ปาก กระเพาะอาหาร ลำไส้ มีการเผาผลาญและดูดซึมไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย ช่วยสร้างเนื้อเยื่อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เก็บอาหารไว้ใช้เมื่อขาดแคลน และเมื่อเหลือใช้แล้วจะปลดปล่อยส่วนที่ใช้ไม่ได้ออกมาเป็นกากอาหาร
3. ภาวะโภชนาการหมายถึงอะไร จงเปรียบเทียบลักษณะของผู้มีภาวะโภชนาการที่ดีและไม่ดี
ตอบ ภาวะโภชนาการ (nutritional status) หมายถึง ผล สภาพ หรือภาวะของร่างกายที่เกิดจากการบริโภคอาหาร แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
1. ภาวะโภชนาการดี (good nutritional status) หมาย ถึง ภาวะที่ร่างกายได้รับอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ คือ มีสารอาหารครบถ้วน ในปริมาณเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และร่างกายใช้สารอาหารเหล่านั้นในการเสริมสร้างสุขภาพอนามัยได้อย่างมี ประสิทธิภาพเต็มที่
2. ภาวะโภชนาการไม่ดี (bad nutritional status) หรือภาวะทุพโภชนาการ (malnutrition) หมายถึง ภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือได้รับเพียงพอแต่ร่างกายไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสารอาหารที่ได้รับ หรือการได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินความต้องการของร่างกาย จึงทำให้เกิดภาวะผิดปกติขึ้น ภาวะโภชนาการไม่ดี แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
2.1 ภาวะโภชนาการต่ำกว่าเกณฑ์ (under nutrition or nutritional deficiency) หมายถึง ภาวะที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยอาจขาดสารอาหารเพียง 1 ชนิด หรือมากกว่า และอาจขาดพลังงานด้วยหรือไม่ก็ได้ เช่น โรคขาดโปรตีน(kwashiorkor)โรคขาดพลังงาน (marasmus)หรือโรคขาดโปรตีนและพลังงาน (marasmic-kwashiorkor) โรคที่เกิดจากการขาดวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ เช่น โรคเหน็บชา คอพอก
2.2 ภาวะโภชนาการเกิน (over nutrition) หมายถึง ภาวะที่ร่างกายได้รับอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย และเก็บสะสมไว้จนเกิดอาการปรากฏ เช่น ได้รับสารอาหารที่ให้พลังงานมากเกินไปจะมีการสะสมไว้ในร่างกายในสภาพไขมัน ทำให้เกิดโรคอ้วน หรือการได้รับสารอาหารบางอย่างที่ขับถ่ายยากในปริมาณมากเกินไป จนมีการเก็บสะสมในร่างกาย และทำให้เกิดโทษ เช่น การได้รับวิตามิน เอ และ ดี มากเกินความต้องการของร่างกาย และร่างกายเก็บสะสมไว้ทำให้เกิดภาวะไฮเปอร์วิตามินโนซีส เอ และ ดี (hyper vitaminosis A และ D)
4. อาหารที่เรารับประทานในชีวิตประจำวันประกอบด้วยอะไรบ้าง และต้องรับประทานอย่างไรจึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย
ตอบ อาหารที่เรารับประทานในชีวิตประจำวันประกอบด้วย อาหารหลัก 5 หมู่ คือการ จัดอาหารทุกชนิดที่คนไทยบริโภคเป็นประจำออกเป็นหมวดหมู่ เป็นการจัดที่มีมานานแล้วโดยใช้ คำว่า อาหารหลัก 5 หมู่ของคนไทย แต่ในที่นี้จะเรียกว่า อาหารหลัก 5 หมู่
หมู่ที่ 1 นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้งและงา
นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้งและงา เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี สามารถนำไปเสริมสร้าง ร่างกายให้เจริญเติบโตและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เสื่อมให้อยู่ในสภาพปกติ ในวัยเด็ก จำเป็นอย่างนิ่งที่ต้องได้รับโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอ และมีคุณภาพที่ดี วัยผู้ใหญ่ ควรเลือกกินโปรตีนที่สามารถย่อยง่ายและมีไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลาและเพื่อไม่ให้ ่เบื่ออาหาร ควรกินสลับกับถั่วเมล็ดแห้งบ้าง ทำให้เกิดความหลากหลายในชนิดอาหาร
หมู่ที่ 2 ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล
ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล มีสารอาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นแหล่งอาหารสำคัญที่ให้พลังงาน ข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือมีใยอาหาร วิตามินและ แร่ธาตุ เพื่อให้ร่างกายได้ประโยชน์มากที่สุด ควรกินสลับกับ ผลิตภัณฑ์จากข้าวและธัญพืชอื่น ที่ให้พลังงานเช่นเดียวกับข้าว ได้แก่ก๋วยเตี่ยว ขนมจีน บะหมี่ วุ้นเส้น หรือแป้งต่างๆ และไม่ควรกินมากเกินความต้องการเพราะอาหารประเภทนี้จะถูกเปลี่ยนและ เก็บสะสมไว้ในรูปของไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดโรคอ้วน
หมู่ที่ 3 ผักต่างๆ
อาหารหมู่นี้ จะให้วิตามินและเกลือแร่แก่ร่างกายช่วยเสริมสร้างทำให้ร่างกายแข็งแรงมีแรงต้านทานเชื้อโรคและช่วยให้อวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างเป็นปกติ อาหารที่สำคัญของหมู่นี้ คือ ผักต่างๆ เช่นตำลึง ผักบุ้ง ผักกาดและผักใบเขียวอื่นๆ นอกจากนั้นยังรวมถึงพืชผักอื่นๆ เช่น มะเขือ ฟักทอง ถั่วฝักยาว เป็นต้น นอกจากนั้น อาหารหมู่นี้จะมีกากอาหารที่ถูกขับถ่ายออกมาเป็นอุจจาระทำให้ลำไส้ทำงานเป็นปกติ
หมู่ที่ 4 ผลไม้ต่างๆ
ผลไม้ต่างๆ จะให้วิตามินและเกลือแร่ ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง มีแรงต้านทานโรคและมีกากอาหารช่วยทำให้การขับถ่ายของลำไส้เป็นปกติ อาหารที่สำคัญ ได้แก่ ผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วย มะละกอ ส้มมังคุด ลำไย เป็นต้น
หมู่ที่ 5 ไขมันและน้ำมัน
ไขมันและน้ำมัน จะให้สารอาหารประเภทไขมันมาก จะให้พลังงานแก่ร่างกาย ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตร่างกายจะสะสมพลังงานที่ได้ไว้ใต้ผิวหนังตามส่วน ต่างๆ ของร่างกาย เช่น บริเวณสะโพก ต้นขา เป็นต้น
ไขมันที่สะสมไว้เหล่านี้จะให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและให้พลังงานที่สะสมไว้ใช้ในเวลาที่จำเป็นระยะยาว อาหารที่สำคัญ ได้แก่
- ไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู รวมทั้งไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อสัตว์ต่างๆด้วย
- ไขมันที่ได้จากพืช เข่น กะทิ น้ำมันรำ น้ำนมถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม เป็นต้น
5. โปรตีนคืออะไร มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร และเราได้โปรตีนจากแหล่งอาหารใดบ้าง
ตอบ โปรตีน คือ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่สร้างเซลล์แต่ละเซลล์ขึ้นมา ร่างกายเราจะมีการผลัดเซลล์เก่าและสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน เพื่อซ่อมแซมตัวเองอยู่ตลอดเวลา โปรตีนจึงเป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างมากสำหรับทุกเซลล์ในร่างกาย
โครงสร้างของโปรตีน ประกอบขึ้นจากจากโครงสร้างเล็กๆที่เรียกว่า “กรดอะมิโน” ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 22 ชนิด แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. กรดอะมิโนจำเป็น มีทั้งหมด 9 ชนิด ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ จำเป็นต้องได้จากการรับประทานอาหารเท่านั้น
2. กรดอะมิโนไม่จำเป็น เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ มีทั้งหมด 13 ชนิด
ความสำคัญของโปรตีน
1. สร้างเนื้อเยื่อต่างๆและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในอวัยวะต่างๆ
2. เป็นส่วนประกอบของน้ำย่อย และฮอร์โมน
3. เป็นส่วนประกอบของสารเคมีที่สามารถต้านทานโรค
4. ให้พลังงาน คือ โปรตีน 1 กรัม ให้พลังงานประมาณ 4 แคลอรี
5. ร่างกายสามารถใช้โปรตีนแทนคาร์โบไฮเดรตได้
เราได้โปรตีนจาก
ไข่นับว่าเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่มีคุณภาพดีเมื่อเปรียบเทียบกับอาหารชนิดอื่น ๆ ในคะแนนเต็ม 100 ไข่มีคะแนนถึง 94 ในไข่หนึ่งฟอง ประกอบขึ้นด้วย ไข่ขาวและไข่แดง ไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง โดยมีไขมันถึง 6 กรัม แต่มีโปรตีนเพียง 1.5 กรัม ส่วนไข่ขาวมีโปรตีนมากกว่าไข่แดงคือมีโปรตีนประมาณ 4.5 กรัม และที่สำคัญคือไม่มีไขมัน
ถั่วเหลืองนับว่าเป็นแหล่งโปรตีนราคาถูก และคุณภาพดี มีคะแนนสารอาหารโปรตีน 61 ถั่วเหลืองนอกจากมีราคาถูกแล้วยังปราศจากผลข้างเคียงที่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แก่ร่างกายอีกด้วย อย่างไรก็ตามถั่วเหลืองค่อนข้างย่อยยากสักหน่อย
6. คาร์โบไฮเดรตคืออะไร มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร ส่วนใหญ่ได้จากอาหารใดบ้าง
ตอบ คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate)เป็นสารชีวโมเลกุลที่สำคัญที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตทุกชนิค คำว่าคาร์โบไฮเดรตมีรากศัพท์มาจากคำว่า คาร์บอน (carbon) และคำว่าไฮเดรต (hydrate) อิ่มตัวไปด้วยน้ำ ซึ่งรวมกันก็หมายถึงคาร์บอนที่อิมตัวไปด้วยน้ำ เนื่องจากสูตรเคมีอย่างง่ายก็คือ (C•H2O)n ซึ่ง n≥3 หน่วยที่เล็กทีสุดของคาร์โบไฮเดรตก็คือน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวหรือโมโนแซคคาร์ไรด์
คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารหลักซึ่งให้พลังงานเท่ากับ โปรตีน คือ 4 กิโลแคลลอรี่/1 กรัม ประกอบด้วย C คาร์บอน H ไฮโดรเจน และ O ออกซิเจน เป็นอัตรส่วน m:2n:n คาร์โบไฮเดรต แบ่งออกเป็น 3อย่างคือ
1.monosaccharide(น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ) ได้แก่ glucose , fructose , galactose
2.disaccharides(น้ำตาลโมเลกุลคู่) ได้แก่ moltose , lactose , sucrose
3.polysaccharides(โพลีแซคคาไรด์ ) ได้แก่ stuch , glycogen , cellulost
ความสำคัญของคาร์โบไฮเดรต
1.ให้พลังงานและความร้อน
2. สงวนคุณค่าของโปรตีนเพื่อน้ำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด
3. ช่วยให้ไขมันในร่างกายปกติ
4. กลูโคสเป็นอาหารของสมอง
5. กลูโคสใช้สังเคราะห์กรดอะมิโนบางตัว
6. ควบคุมการเผาผลาญไขมันและโปรตีน
7. ยับยั้งพิษในร่างกาย
อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต ได้แก่ ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล หรือผลิตภัณฑ์ของอาหารดังกล่าว เช่น ขนมปัง ขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่
7. ไขมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายหรือไม่อย่างไร ส่วนใหญ่ได้จากอาหารใด
ตอบ ไขมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกายดังนี้
1. ช่วยให้พลังงานความอบอุ่นแก่ร่างกาย
2. ใช้สังเคราะห์วิตามินและละลายวิตามินในร่างกาย
3. ใช้ห่อหุ้มอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย
4. ควบคุมกลไกการทำงานของร่างกาย
เราจะพบไขมันใน เนื้อสัตว์และพืชตระกูลถั่ว ซึ่งสามารถสกัดน้ำมันออกมาได้
8. การนำน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันมะพร้าวมาประกอบอาหาร มีจุดเด่นและจุดด้อยต่างกันอย่างไร
ตอบ -น้ำมันถั่วเหลือง
ได้จากการนำเมล็ดถั่วเหลืองมาสกัดน้ำมันโดยใช้ตัวทำละลายแล้วนำไปฟอกสีและ กำจัดกลิ่น น้ำมันถั่วเหลืองจัดได้ว่าเป็นน้ำมันพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง น้ำมันถั่วเหลืองสำหรับบริโภคที่จำหน่ายมีทั้งน้ำมันถั่วเหลือง 100% และน้ำมันถั่วเหลืองผสมกับน้ำมัน ถั่วเหลืองมีสารเคมี ที่เป็นประโยชน์หลายชนิด เช่น เลซิติน โอลิโกแซคคาไรด์ วิตามินอี สเตอรอล ไฟเตทเป็นต้น สามารถใช้ถั่วเหลืองเพื่อช่วยเพิ่มเยื่อใยและคุณค่าทางอาหาร
-น้ำมันมะพร้าว
สกัดได้จากการหมักเพราะเนื่องจากมีคุณภาพสูง ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการผลิตมากนัก
9. ทำไมอาหารจึงเป็นพิษและที่เป็นพิษเกิดจากสาเหตุใดบ้าง
ตอบ โรคอาหารเป็นพิษมักพบการเจ็บป่วยเกิด ขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะ เวลาอันสั้นภายหลังจากการรับประทานอาหาร เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น Salmonella, Staphylococcus aureus, Vibrio parahaemolyticus, Clostridium perfringens, bacillus cereus, Botulinum ฯลฯ เชื้อรา เห็ดมีพิษ หรือสารเคมีต่างๆ การติดต่อโดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป ซึ่งมักพบในอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ไข่เป็ด ไข่ไก่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล และน้ำนมที่ยังไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ นอกจากนี้อาจพบในอาหารที่ทำไว้ล่วงหน้านานๆ แล้วไม่ได้แช่เย็นไว้ ถ้าไม่ได้อุ่นให้ร้อนพอก่อนรับประทานก็จะทำให้เป็นโรคนี้ได้ อาการสำคัญคือ อุจจาระร่วง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องเนื่องจากเชื้อโรคทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ นอกจากนี้อาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว รายที่ท้องเสียมากจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ได้ และบางรายอาจมีอาการรุนแรง เนื่องจากมีการติดเชื้อและเกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ข้อและกระดูก ถุงน้ำดี กล้ามเนื้อ หัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมอง และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตจะทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ โดยเฉพาะเด็กทารก เด็กเล็ก และผู้สูงอายุ
10. เราจะมีวิธีป้องกันมิให้สารพิษที่ตกค้างในอาหารเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร โดยเฉพาะพืชผักที่มีสารพิษตกค้าง
ตอบ ไม่รับประทานเนื้อสุกๆดิบๆ โดยเฉพาะเวลาอุ่นเนื้อแฮมเบอเกอร์จะต้องทำให้ร้อนโดยตลอดถึงใจกลาง สเต็กย่างเนื้อในควรจะร้อนถึง 63 C สัตว์ปีกทั้งตัวอุณหภูมิเนื้อในควรสูงถึง 82 C เนื้อบดอุณหภูมิภายในควรสูงถึง 71 C หรือเนื้อในจะต้องไม่เป็นสีชมพู แบคทีเรียที่ทำให้อาหารเป็นพิษจะไม่สามารถมีชีวิตได้ในความร้อนสูง ฉะนั้นแบคทีเรียจะถูกฆ่าตายในอาหารที่ปรุงสุก รักษาความสะอาดของเขียงที่ใช้หั่นเนื้อ ไม่ควรใช้เขียงปนกันในการหั่นอาหารสุกและอาหารดิบ จะทำให้เชื้อปนเปื้อนติดไปได้ ล้างภาชนะ ช้อนชาม และมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
ข้อแนะนำในการป้องกันอาหารเป็นพิษ
* รักษาความสะอาดของอาหารและภาชนะทุกชนิดที่ใช้ประกอบอาหาร รวมทั้งบริเวณประกอบอาหาร
* ล้างมือทุกครั้งด้วยสบู่ก่อนจับต้องอาหาร หากมีแผลตามมือควรปิดแผลให้เรียบร้อยด้วยพลาสเตอร์ปิดแผล
* ไม่จามหรือไอรดอาหาร
* ขณะปรุงอาหารไม่วางเนื้อสัตว์ของดิบปนกับของสุกหรือผักสด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค แม้การใช้เขียงหั่นผักก็ควรจะแยกเขียงสำหรับหั่นเนื้อสัตว์ดิบและเขียงหั่น อาหารที่สุกหรือพร้อมที่จะรับประทาน
* ปรุงอาหารให้สุก อาหารที่ต้องเสิร์ฟร้อนควรมีอุณหภูมิมากกว่า 140 F หรือ 60 C อุณหภูมิ 160 -212 F หรือ 71-105.5 C สามารถฆ่าแบคทีเรียได้ 140 - 159 F หรือ 60-70.5 C เพียงแต่ป้องกันการเจริญของแบคทีเรียและเชื้อยังมีชีวิตอยู่ อาหารเย็นควรเก็บที่อุณหภูมิตู้เย็นจริงๆ
* อาหารที่รับประทานเหลือโดยเฉพาะประเภทเนื้อ ปลา ไข่ และนมควรเก็บเข้าตู้เย็นทันทีที่ต่ำกว่า 4 ?C เพื่อป้องกันการเจริญของแบคทีเรีย ไม่ควรตั้งอาหารที่ปรุงแล้วทิ้งไว้เกินกว่า 2 ชั่วโมง หรือ 1 ชั่วโมง ถ้าอุณหภูมิแวดล้อมสูงกว่า 90 ?F หรือ 32 ?C และก่อนรับประทาน นำมาทำให้ร้อน
* ในการอุ่นซุปควรอุ่นให้เดือดถึงอุณหภูมิ 74 C
* การละลายอาหารแช่แข็งไม่ควรวางไว้ที่อุณหภูมิห้อง ควรนำออกจากช่องแช่แข็งมาละลายในตู้เย็นล่วงหน้าก่อนที่จะนำมาปรุง แต่ถ้าต้องการความรวดเร็วนำมาใส่ถุงพลาสติกผูกปากถุงให้แน่น และนำมาแช่ในน้ำเย็นหรือจะนำมาละลายในตู้ไมโครเวฟก็ได้หากจะปรุงทันที
* อาหารทะเล ควรมั่นใจว่าสดและปรุงสุกจริงๆ และหลีกเลี่ยง เมนูประเภทยำ
* แม้การเก็บเนื้อสัตว์ดิบในตู้เย็นก็ควรแยกชั้นกับอาหารสุก และห่อหรือปิดปากถุงพลาสติกให้แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเลือดจากเนื้อสัตว์ เหล่านั้นปนเปื้อนอาหารอื่นๆ
* อย่าเก็บของอัดแน่นในตู้เย็นเพราะจะทำให้ไอเย็นกระจายไม่ทั่วตู้เย็น อาหารจะเสียง่าย
หาก ต้องเดินทางไกลไปสถานที่ด้อยการพัฒนาด้านสาธารณะสุข ควรเตรียมสบู่ก่อนสำหรับล้างมือ และกระดาษเช็ดมือชนิดเปียกไปด้วย กรณีที่หาห้องน้ำไม่ได้กลางทาง นอกจากนี้ไม่ควรดื่มน้ำที่ไม่ได้ต้มจากก๊อกประปา น้ำโซดาจะปลอดภัยกว่าเพราะบางประเทศน้ำขวดก็อาจจะไม่ปลอดภัย เลี่ยงการรับประทานน้ำแข็ง เลี่ยงการรับประทานผักสด เลือกผลไม้ที่มีเปลือก เช่นกล้วย ส้ม เลือกอาหารที่ร้อนปรุงสุกใหม่ๆ เลี่ยงการรับประทานหอยซึ่งอาจมีเชื้อโรคติดมาโดยที่เราไม่มีทางรู้
ใน กรณีเตรียมอาหารไปเอง ควรหากระติกน้ำแข็งหรือกล่องโฟมใส่น้ำแข็ง เพื่อแช่อาหารที่เตรียมไป ปกติอาหารที่เตรียมแล้วไม่ควรทิ้งไว้โดยไม่ได้แช่เย็นนานเกิน 2 ชั่วโมง ยิ่งหน้าร้อนไม่ควรทิ้งไว้นานเกินชั่วโมง ขวดน้ำหรือน้ำผลไม้ควรแช่แข็งก่อนการเดินทางเพื่อใช้แช่เย็นอาหารอาหารอื่น ไปในตัว ถ้ามีที่ว่างในรถ อาหารที่เสียง่ายควรเก็บไว้ในกล่องใส่น้ำแข็งและเก็บไว้ที่นั่งด้านหลังใน ตัวรถ
แนวข้อสอบความรู้ทางโภชนากร
คำชี้แจง
1. ให้เลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงตัวเลือกเดียว แล้วตอบลงในกระดาษคำตอบที่แจกให้ โดยเขียนเครื่องหมาย x ลงในช่องว่างของตัวอักษร ก.,ข.,ค. และ ง. ตามคำตอบที่เลือกไว้
2. ถ้าต้องการเปลี่ยนคำตอบ ให้ใช้ปากกาละเลงทับคำตอบเดิมแล้วเขียนเครื่องหมาย x ลงในช่องของตัวอักษรใหม่ที่เป็นคำตอบให้ชัดเจน
1. สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญญาโภชนาการในประเทศไทยควรแก้ไขข้อไหนเป็นอันดับแรก
一. การผลิต การกระจายอาหาร
二. การเลือกอาหาร
三. ความยากจน
四. การศึกษาทางด้านอาหารโภชนาการและการผลิตอาหาร
ตอบ ก. การผลิต การกระจายอาหาร
2. ประชากรกลุ่มเป้าหมายในแผนอาหารโภชนาการของรัฐบาลคือกลุ่มใด
一. หญิงมีครรภ์และหญิงให้นมบุตร
ข. เด็กวัยก่อนเรียน
ค. เด็กวัยเรียน
ง. ทุกกลุ่ม
ตอบ ง. ทุกกลุ่ม
3. หลักการเลือกอาหารสำหรับชีวิตประจำวันคือข้อใด
一. เลือกอาหารที่มีประโยชน์และจำเป็นสำหรับร่างกาย
ข. เลือกอาหารที่ประกอบด้วยอาหารหลายๆอย่างได้ครบ 5 หมู่
ค. เลือกอาหารที่สด สะอาด ตามฤดูกาลและถูกหลักสุขาภิบาล
ง. เลือกอาหารที่มีรสชาติตรงกับความนิยมของผู้บริโภค
ตอบ ค. เลือกอาหารที่สด สะอาด ตามฤดูกาลและถูกหลักสุขาภิบาล
4. ความสำคัญของโภชนาการที่มีต่อสุขภาพอนามัยข้อไหนสำคัญที่สุด
一. ประสิทธิภาพในการทำงานของแต่ละบุคคล
ข. ความสามารถในการใช้สารอาหารในร่างกาย
ค. การเลือกอาหารแต่ละมื้อให้ครบ 5 หมู่
ง. ความเจริญเติบโตทางกาย อารมณ์ ปัญญา
ตอบ ค. การเลือกอาหารแต่ละมื้อให้ครบ 5 หมู่
5. ปัจจุบันประเทศไทยมีปัญหาเกี่ยวกับโรคขาดสารอาหารหลายโรค ที่สำคัญคือโรคใด
一. โรคนิ่ว ข. โรคเหน็บชา
ค. โรคคอพอก ง. โรคขาดโปรตีนและแคลอรี่
ตอบ ง. โรคขาดโปรตีนและแคลอรี่
6. ประโยชน์ของอาหารหลักหมู่ที่ 1
一. ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ ข. สร้างและซ่อมแซมร่างกาย
ค. ทำให้ผิวพรรณสดชื่น ง. ช่วยระบายท้องไม่ให้ผูก
ตอบ ข. สร้างและซ่อมแซมร่างกาย
7. วิธีหุงต้มผักที่ถูกต้อง
一. ใช้น้ำน้อย ไฟแรง เวลาสั้น
ข. ใช้ไฟอ่อน น้ำมาก ต้มให้เปื่อย
ค. ใช้น้ำน้อย ไฟแรง ตั้งไว้จนเปื่อย
ง. ใช้น้ำพอควร ไฟอ่อนๆ จนกว่าผักจะสุก
ตอบ ก. ใช้น้ำน้อย ไฟแรง เวลาสั้น
8. การเลือกผักที่จะมาบริโภค ควรเลือกข้อใด
一. ผักพวกหัว เช่น หัวผักกาด ทำง่าย
ข. ผักสดที่มีใบสีเขียวจัด
ค. ผักที่สดๆงามๆ จะเป็นผักอะไรก็ได้
ง. ผักที่มีรูมากๆ เพราะไม่มียาฆ่าแมลง
ตอบ ข. ผักสดที่มีใบสีเขียวจัด
9. คนไทยส่วนใหญ่บริโภคไขมันเป็นอย่างไร
一. มากเกินไป ควรลด ข. น้อยมาก ควรเพิ่ม
ค. พอดีแล้ว ง. กินไขมันจากสัตว์มากไป
ตอบ ง. กินไขมันจากสัตว์มากไป
10. โภชนาการมีผลต่อสมรรถภาพในการทำงานของร่างกายของมนุษย์โดยเริ่มจากวัยใด
一. ทารกและวัยก่อนเรียน ข. วัยเรียน
ค. วัยหนุ่มสาว ง. วัยผู้ใหญ่
ตอบ ก. ทารกและวัยก่อนเรียน