แนวข้อสอบ นายทหารตรวสอบ กองทัพอากาศ ล่าสุดปี 2567-2568
ถาม - ตอบ
1. บัญชีการเงินและบัญชีบริหารมีความแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ บัญชีการเงินและบัญชีบริหารเป็นการใช้ฐานข้อมูลทางการบัญชีร่วมกัน แต่ก็มีความแตกต่างระหว่าง 2 บัญชีคือ
2. การจำแนกตามหน้าที่ แบ่งเป็น กี่ประเภทให้อธิบาย
ตอบ หน้าที่ แบ่งเป็น 2 ประเภท
· ต้นทุนการผลิต (Manufacturing Costs)
- วัตถุดิบทางตรง (Direct Materials)
- ค่าแรงทางตรง (Direct Labor)
- ค่าใช้จ่ายโรงงาน (Factory Overhead)
· ต้นทุนที่ไม่เกี่ยวกับการผลิต (Non manufacturing cost or period cost) หรือค่าใช้จ่ายดำเนินงานหรือต้นทุนประจำงวด ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling Expense) และค่าใช้จ่ายในการบริหาร (General and administrative expenses)
· Direct material – DM คือวัสดุที่ใช้เริ่มต้นผลิตสินค้าซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักและสามารถวัดจำนวนของวัตถุดิบที่ประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปในแต่ละหน่วยได้
· Direct labor – DL คือแรงงานที่ทำการผลิตสินค้านั้นโดยตรงกับกระบวนการผลิตสินค้าสำเร็จรูปและสามารถวัดปริมาณชั่วโมงในการผลิตได้
· Overhead cost – OH or Manufacturing cost คือต้นทุนอื่นที่ไม่ใช่ DM และ DL เป็นค่าใช้จ่ายในโรงงานทั้งหมด เช่น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าเสื่อมราคา ค่าบำรุงรักษาเครื่องจักร เป็นต้น
· นอกจากนี้ ยังมีอีก 2wording ที่ชอบออกข้อสอบคือ
1. วัตถุดิบทางอ้อม (Indirect material) เช่น ตะปู ลวดเชื่อม เป็น Component cost
2. ค่าแรงงานทางอ้อม (Indirect labor) เช่น เงินเดือนของพนักงานคุมการผลิตของโรงงานซึ่งสองตัวนี้ถือเป็น Overhead นะคะ.....OH
· Selling expenses ค่าใช้จ่ายในการขาย คือ ค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้การสั่งซื้อของลูกค้าจนถึงการนาสินค้าสำเร็จรูปหรือบริการไปถึงมือลูกค้า เช่น ค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายการตลาด เงินเดือนพนักงานขาย เป็นต้น
· Administrative expenses ค่าใช้จ่ายในการบริหาร คือค่าใช้จ่ายสานักงาน เช่น เงินเดือนผู้บริหาร ค่าใช้จ่ายฝ่ายบัญชีการเงิน เป็นต้น
3. ให้บอกว่า DM + DL + OH คืออะไรพร้อมอธิบาย
ตอบ DM + DL + OH คือต้นทุนผลิตภัณฑ์ (Product cost) คือต้นทุนทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตที่สะสมในแต่ละหน่วยสินค้าจนกระทั่งผลิตสินค้าเสร็จสมบูรณ์พร้อมขาย ถ้ากรณียังขายไม่ได้ก็จะแสดงในงบดุลเป็นสินค้าคงเหลือ (Inventory) โดย Inventory จะประกอบด้วย
- งานระหว่างทำที่ยังผลิตไม่เสร็จ (Work in Process – WIP)
- สินค้าสำเร็จรูปที่ยังไม่ได้ขาย (Finished Good)
- วัสดุโรงงานที่เหลืออยู่
แต่กรณีมีการขายสินค้าไปแล้วก็จะแสดงในงบกาไรขาดทุนเป็นต้นทุนขาย (Cost of good sold) ต้นทุนประจำงวด (Period cost) คือค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ไม่สนใจเลยว่ามีการขายสินค้าไปหรือยัง แต่เมื่อเกิดค่าใช้จ่ายแล้วต้องบันทึกในงบกำไรขาดทุนตามเกณฑ์สิทธิปัจจุบันบริษัทส่วนใหญ่มักจะมี Overhead สูงกว่าต้นทุนตรงเพราะเดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีเรื่องของงานวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้เครื่องจักรมากขึ้น ดังนั้นการปันส่วนของ Overhead สำคัญมาก..ถ้าปันส่วนถูกก็จะทาให้การคำนวณต้นทุนถูกต้องและมีผลต่อเนื่องไปถึงการตั้งราคาขายที่สมเหตุสมผล แต่ถ้าปันส่วนผิด ..การคำนวณต้นทุนผิด ก็จะส่งผลต่อเนื่องไปถึงการตั้งราคาขายผิดที่อาจจะต่ำไป หรือคิดต้นทุนที่มากเกินไป ก็ทำให้งบการเงินแสดงผลขาดทุนได้ ดังนั้นควรพิจารณาหลักการการปันต้นทุน Overhead อย่างระมัดระวังให้เหมาะสมกับกิจการของตัวเอง โดยตอนนี้มีหลักการปันส่วน Overhead 2 วิธี คือ การใช้วิธีผลิตมากถูกปันมาก (Volume base) หรือการใช้วิธีปันตามกิจกรรม (Activity Base Cost – ABC) อย่างไรก็ตามในหลักสูตรนี้จะอธิบายเฉพาะวิธี Volume base เท่านั้น...
เช่น ปากกายี่ห้อ Big เมื่อก่อนผลิตสีแดงและน้ำเงิน ขายดีมากมาย...ต่อมามีการผลิตปากกาสีม่วงเพิ่มขึ้น แล้วขายด้วยราคาเท่ากัน แต่จริง ๆ แล้วการผลิตสีม่วงทำได้ยากกว่า ต้นทุนการผลิตเป็น 2 เท่าของสีแดงและน้ำเงิน ต้องใช้แม่สีเยอะกว่า ต้องใช้เทคนิคเยอะกว่า แต่บริษัทใช้วิธีปัน Overhead cost แบบ volume base คือดูว่าสีอะไรขายได้มากกว่าก็ได้รับปันต้นทุน Overhead cost สูงกว่า ทำให้งบของบริษัทไม่สื่อภาพที่แท้จริงสีแดงและน้ำเงินควรได้รับต้นทุนที่น้อยกว่าสีม่วงและ ปากกาสีม่วงเองก็ถูกตั้งราคาขายต่ำไป เป็นเหตุให้บริษัทปากกา Big มีปัญหาเลย....ผลประกอบการแย่ลง ซึ่งถ้าใช้วิธีการปัน Overhead cost แบบ ABC จะทาให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าจริง ๆ แล้วเราควรตั้งราคาขายเท่าไหร่ สินค้าประเภทไหนใช้ต้นทุนการผลิตมากกว่า ......จะทำให้การวางแผนเชิงบริหารดีขึ้น
4. การจำแนกต้นทุนตามพฤติกรรม สามารถจำได้อย่างไรบ้าง
ตอบ จำแนกต้นทุนตามพฤติกรรม
· ต้นทุนคงที่ (Fixed Cost) คือต้นทุนต่าง ๆ ที่มีต้นทุนรวมคงที่ในขณะที่ต้นทุนต่อหน่วยจะเปลี่ยนแปลงผกผันกับระดับของกิจกรรม เช่น ค่าเช่า เงินเดือน ภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน ภาษีป้าย เป็นต้น ถ้าผลิตสินค้ายิ่งเยอะ ต้นทุนต่อหน่วยของ Fixed cost ยิ่งลดลง
· ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) คือต้นทุนที่มีต้นทุนรวมเปลี่ยนแปลงตามสัดส่วนโดยตรงของระดับกิจกรรม แต่ต้นทุนต่อหน่วยจะคงที่ เช่น ค่าน้ามัน ค่าล่วงเวลา ค่าน้า ค่าไฟ เป็นต้น ยิ่งผลิตมาก ต้นทุนรวมยิ่งมากขึ้น
· ต้นทุนกึ่งผันแปร (Mixed Cost) คือต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณหรือระดับของกิจกรรมบ้าง เช่น ค่าเช่ารถบรรทุก จะมีส่วนหนึ่งจ่ายเป็นค่าเช่ารายเดือนด้วย (Fixed cost) แต่ก็มีอีกส่วนเปลี่ยนไปตามระยะทางที่ใช้งาน (Variable cost)
5. ในผลิตสินค้า 100 หน่วย ต้นทุนคงที่ 100 บาท ต้นทุนผันแปร 2 บาท/หน่วย ถามว่า..ต้นทุนผลิตภัณฑ์ต่อหน่วยเป็นเท่าใด
ตอบ ต้นทุนต่อหน่วย = (ต้นทุนคงที่ 100 บาท / 100 หน่วย) + ต้นทุนผันแปร 2 บาท = 3 บาท/หน่วย
6. ถ้าผลิตสินค้า 5 หน่วย ถามว่ามีต้นทุนผลิตภัณฑ์ต่อหน่วยเป็นเท่าใด
ตอบ ต้นทุนต่อหน่วย = (ต้นทุนคงที่ 100 บาท / 50 หน่วย) + ต้นทุนผันแปร 2 บาท = 4 บาท/หน่วย
7. ประเภทของการสะสมต้นทุน มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
ตอบ • ระบบสะสมต้นทุนแบบสิ้นงวด (Periodic cost) เกิดจากการตรวจนับสิ้นงวด คิดแบบหยาบ ๆ เหมาะกับกิจการขนาดเล็ก
• ระบบสะสมต้นทุนแบบต่อเนื่อง (Perpetual cost) มีการสะสมคิดต้นทุนการขายอยู่ตลอดเวลา โดยต้นทุน DM + DL + OH จะถูกโอนไปเป็น Work in process – WIP เพื่อพร้อมจะโอนออกไปเป็นต้นทุนของสินค้าสำเร็จรูป (Finished goods - FG) ในระหว่างงวด ส่วนงานที่ยังไม่เสร็จก็จะถือเป็น WIP สิ้นงวด ถ้ามีการขายก็จะโอน FG ไปเป็นต้นทุนขาย
8. การคำนวณต้นทุน ตามลักษณะกระบวนการผลิต มีกี่กระบวนการได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ • ระบบต้นทุนช่วงหรือต้นทุนกระบวนการหรือต้นทุนต่อเนื่อง (Process cost system) เหมาะสำหรับการผลิตสินค้าเหมือน ๆ กันด้วยระบบการผลิตที่ต่อเนื่อง วิธีการคิดต้นทุนช่วงจะรวบรวมต้นทุนที่เกิดขึ้นในแต่ละงวดตามขั้นตอนการผลิตและนาต้นทุนที่รวบรวมไว้มาเฉลี่ยให้แก่สินค้าแต่ละหน่วยมีการผลิตในงวดนั้น
o ต้นทุนต่อหน่วย = ต้นทุนการผลิตทั้งหมด / จำนวนหน่วยผลิต
ทางเดินบัญชีในระบบต้นทุนกระบวนการหรือต้นทุนช่วงคือ
9. ข้อแตกต่างระหว่าง Process cost system & Job order cost system
ตอบ
10. ให้อธิบายเกี่ยวกับ ต้นทุนมาตรฐาน (Standard cost)
ตอบ เป็นการสะสมต้นทุน DM+DL+OH ด้วยการใช้มาตรฐานทั้งจำนวนหน่วยและราคาด้วยการใช้ข้อมูลทางสถิติ ฝ่ายบริหารจะวิเคราะห์จากผลต่างที่เกิดขึ้นระหว่างต้นทุนจริงกับต้นทุนมาตรฐาน แต่วิธีนี้ใช้กับเมืองไทยยาก เพราะต้องมีข้อมูลสถิติที่เจ๋งจริง ปัญหาคือจะหามาตรฐานได้ต้องมีข้อมูลมากพอสมควร ซึ่งต้องแม่นจริง ไม่ใช้เปลี่ยน Standard บ่อย ๆ จะทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
ข้อสังเกตุ ......เวลาสอบให้อ่านโจทย์ให้ดี ๆ ว่าเขาอยากได้คำตอบอะไร..โจทย์อาจหลอกได้...เช่น โจทย์บอกว่าอัตราค่าแรงงานทางตรง = 6 ชั่วโมงต่อสินค้าหนึ่งชิ้น ค่าแรงคิดเป็น 50 บาท/ชั่วโมง..อัตราค่าใช้จ่ายการผลิตมาตรฐานคิดเป็น 150% ของค่าแรงงาน ซึ่งหมายความว่าต้องแปลงเป็นอัตราค่าใช้จ่ายการผลิตมาตรฐาน / หนึ่งชิ้น = 150%*6 ชั่วโมง* 50 บาท = 450 บาท / หนึ่งชิ้น เป็นต้น
ดังนั้นเวลาวางระบบบัญชี เราต้องรู้ก่อนว่าธุรกิจเราผลิตสินค้าประเภทอะไร Job order หรือ Process cost ต่อจากนั้นเราจะคิดต้นทุนแบบ Actual หรือ Normal หรือ Standard
แนวข้อสอบวิชาการสอบบัญชี
คำชี้แจง จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว
1. บริษัท กขค จำกัด มีสินทรัพย์ 28,000 บาท มีหนี้สิน 10,000 บาท และมีทุนเรือนหุ้น 7,000 บาท ยอดคงเหลือ
ในบัญชีกำไรสะสมเท่ากับ.........บาท ?
ก. 31,000 ข. 17,000
ค. 25,000 ง. 11,000
ตอบข้อ ง. คำนวณประกอบ
จากสมการบัญชี :- สินทรัพย์รวม = หนี้รวม + ส่วนของเจ้าของ
28,000 = 10,000 + ส่วนของเจ้าของ
\ ส่วนของเจ้าของ = 28,000 - 10,000 บาท
= 18,000 บาท
ส่วนของเจ้าของ = ทุนเรือนหุ้น + กำไรสะสม
18,000 = 7,000 + 11,000
2. ระหว่างปีที่ผ่านมาบริษัทบุญมา จำกัด มีรายการสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 2,000 บาท รายการหนี้สินลดลง 1,000 บาท รายการทุนเรือนหุ้นเพิ่มขึ้น 2,000 บาท และมีกำไรสุทธิประจำปี 3,000 บาท กิจการจ่ายเงินปันผล เท่ากับ........บาท ?
ก. 1,000 ข. 2,000
ค. 3,000 ง. 4,000
ตอบข้อ ข. คำนวณประกอบ
จากสมการบัญชี :- สินทรัพย์รวม = หนี้รวม + ส่วนของเจ้าของ
\ ส่วนของเจ้าของ = หนี้สินลด (Dr.) + ทุนเรือนหุ้นเพิ่ม (Cr.)
+ กำไรสุทธิ (Cr.) – จ่ายเงินปันผล (Dr.)
จ่ายเงินปันผล = ทุนเรือนหุ้นเพิ่ม (Cr.) + กำไรสุทธิ (Cr.)
- หนี้สินลดลง (Dr.) – สินทรัพย์เพิ่ม (Dr.)
= 2,000 + 3,000 – 1,000 – 2,000 บาท
= 2,000 บาท
3. บริษัทสหภัณฑ์ จำกัด มีหนี้สิน 40,000 บาท กำไรสะสม 20,000 บาท และเงินทุนจดทะเบียน 15,000 บาท
กิจการนี้มีสินทรัพย์เป็นจำนวน ............. บาท
ก. 35,000 ข. 45,000
ค. 55,000 ง. 75,000
ตอบข้อ ง. คำนวณประกอบ
จากสมการบัญชี :- สินทรัพย์รวม = หนี้รวม + ส่วนของเจ้าของ
= 40,000 + (15,000 + 20,000)
= 75,000 บาท
4. บริษัท มานาน จำกัด บันทึกรายได้จากการขายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่บริษัทจะไม่รับการจ่ายชำระเงิน จนกว่าจะถึงปีหน้า การปฏิบัติเช่นนี้เป็นตัวอย่างของ
ก. Clash Basis Accounting ข. Accrual Accounting
ค. Historical Costing ง. Improper Recognition
ตอบข้อ ข. ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ
5. บริษัท การเวก จำกัด ซื้อที่ดินเมื่อ 2 ปีที่แล้วในราคา 100,000 บาท เมื่อเร็วๆ นี้กิจการได้รับข้อเสนอขาย
ที่ดินแปลงนี้ในราคา 125,000 บาท และขณะนี้ที่ดินมีราคาประเมินเป็นเงิน 140,000 บาท มูลค่าประเมิน
เพื่อเสียภาษีทรัพย์สินเท่ากับ 85,000 บาท บริษัทควรจะแสดงมูลค่าของที่ดินในงบการเงินเป็นจำนวน
เท่าไร
ก. 100,000 ข. 125,000
ค. 140,000 ง. 85,000
ตอบข้อ ก. การบันทึกรายการสินทรัพย์และหนี้สินถือเกณฑ์ราคาต้นทุน ซึ่งหมายถึงราคาที่เกิดขึ้น
จากการซื้อขายที่คำนวณได้อย่างมีหลักเกณฑ์ โดยไม่ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของคนใดคนหนึ่ง
มีหลักฐานประกอบการบันทึกบัญชีเป็นหลักฐานที่เชื่อถือและเป็นธรรมต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง
ทุกฝ่ายเป็นการปฏิบัติโดยถือหลักราคาทุน (Cost Concept) ซึ่งมีความสัมพันธ์หลัก
ความดำรงอยู่ของกิจการ (Going Concept) และหลักการใช้หลักการอันเที่ยงธรรม
(Materiality)
6. การคิดต้นทุนของสินทรัพย์ตามงวดบัญชีได้รับประโยชน์จากการใช้สินทรัพย์นั้นเป็นตัวอย่างของหลักการ
ก. Conservatism ข. Matching
ค. Materiality ง. Allocation
ตอบข้อ ข. หลักการจับคู่ค่าใช้จ่ายกับรายได้ (Matching) จะนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการหาผลการดำเนินงานของกิจการ โดยการบันทึกรายได้ตามหลักการเกิดขึ้นของรายได้ (Revenue Recognition) และหลักเงินค้าง (The Accrual Basis) ของงวดบัญชีนั้น แล้วจึงนำค่าใช้จ่ายที่ทำให้เกิดรายได้หรือผลประโยชน์ขึ้นมาจับคู่ และถือเป็นค่าใช้จ่ายในงวดบัญชีนั้นๆ ด้วย
7. บริษัท ไทยรุ่งเรือง จำกัด มีส่วนของเจ้าของจำนวน 42,000 บาท ณ วันต้นงวด และจำนวน 46,000 บาท
ณ วันปลายงวด ผู้ถือหุ้นลงทุน 5,000 บาท ในระหว่างงวด และมีการประกาศและจ่ายเงินปันผล 2,000 บาท
กำไรสุทธิประจำปีเท่ากับ
ก. 4,000 ข. 2,000
ค. 3,000 ง. 1,000
ตอบข้อ ง. คำนวณประกอบ
ส่วนของเจ้าของ ณ วันปลายงวด 4,600 บาท
บวก จ่ายเงินปันผล 2,000 บาท
48,000 บาท
หัก ส่วนของเจ้าของ ณ วันต้นงวด 42,000
ลงทุนเพิ่ม 5,000 47,000 บาท
\ กำไรสุทธิประจำปี 1,000 บาท
8. รายการทางบัญชีรายการใดมีความสำคัญหรือไม่มีความสำคัญต่อการรายงานในงบการเงินเกี่ยวข้องกับ
หลักการ
ก. Conservatism ข. Materiality
ค. Comprehensiveness ง. Periodicity
ตอบข้อ ข. หลักการมีนัยสำคัญ (Materiality) คือ งบการเงินควรเปิดเผยข้อมูลที่มีนัยสำคัญซึ่งมีผลต่อ
การตัดสินใจของผู้ใช้ ทั้งนี้เพื่อผู้ใช้จะได้เข้าใจโดยถูกต้องถึงผลการดำเนินงานฐานะการเงิน
และการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของกิจการเหตุการณ์ที่มีนัยสำคัญ หมายถึง เหตุการณ์
ซึ่งถ้าหากผู้ที่เกี่ยวข้องไม่มีโอกาสรับทราบแล้ว อาจตัดสินใจผิดไปจากกรณีที่รับทราบ
9. การคิดต้นทุนที่เกิดขึ้นเพื่อก่อให้เกิดรายได้สำหรับงวดบัญชีเดียวกันที่มีรายงานได้เป็นตัวอย่างของหลักการ
ก. Conservatism ข. Matching
ค. Materiality ง. Stewardship
ตอบข้อ ข. ดูคำอธิบายข้อ 6 ประกอบ
10. การไหลข้าวของทรัพยากร เนื่องจากความพยายามที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ เรียกว่า
ก. Asset ข. Liability
ค. Revenue ง. Expense
ตอบข้อ ค. Revenue
\แนวข้อสอบเรื่องการเงิน
คำชี้แจ้ง 1. ข้อสอบมีทั้งหมด 88 ข้อ
2. ให้กาเครื่องหมาย ü หน้า ข้อที่ถูกต้อง
1. แหล่งเงินทุนใดต่อไปนี้เป็นแหล่งเงินทุนจากภายในกิจการ
ก. พันธบัตร ข. หุ้นบุริมสิทธิ
ค. หุ้นสามัญ ง. กำไรสะสม
จ. ข้อ ข. ค. และ ง. ถูก
ตอบ ง. กำไรสะสม
2. Cash Flows Statement หมายถึง การศึกษากระแสการไหลเข้าออกของ
ก. เงินสดในอดีต ข. เงินสดในปัจจุบัน
ค. เงินสดในอนาคต ง. งบกระแสเงินสด
จ. ถูกทั้งหมด
ตอบ ก. เงินสดในอดีต
3. Business Risk เกิดจากการทำหน้าที่ใด
ก. การวางแผนทางการเงิน ข. การตัดสินใจจัดหาเงินทุน
ค. การตัดสินใจใช้เงิน ง. การควบคุมการเงิน
จ. ถูกทั้งหมด
ตอบ ค. การตัดสินใจใช้เงิน
4. ข้อใดคือสินค้าคงเหลือ
ก. Merchandise ข. Goods
ค. Product ง. Inventory
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ง. Inventory
5. ข้อใดคืองบประมาณการลงทุน
ก. Gapital Investment ข. Capital Budgeting
ค. Capital Expenditure ง. ถูกทั้งหมด
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ข. Capital Budgeting
จงใช้ข้อมูลตอบคำถามข้อ 6 - 15 |
|||
เงินสด หลักทรัพย์ระยะสั้น ลูกหนี้ สินค้า สินทรัพย์ถาวรสุทธิ
|
24,000 12,000 20,000 ……... 64,000 |
เจ้าหนี้การค้า ตั๋วเงินจ่าย ค่าใช้จ่ายค้างจ่าย หุ้นสามัญ กำไรสะสม |
……….. 10,0000 18,000 ……….. 36,000 |
บริษัท มียอดขาย (ขายเชื่อ 100%) 200,000 บาท Gross Profit Margin 20% Net Profit Margin 5, Tax Rate 20% , ดอกเบี้ยสุทธิ 4,500 บาท , Return on Asset 8% , Debt to Net Worth 0.5
6. ต้นทุนขายเท่ากับเท่าใด
ก. 40,000 บาท ข. 160,000 บาท
ค. 200,000 บาท ง. 10,000 บาท
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ข. 160,000 บาท
7. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเท่ากับเท่าใด
ก. 10,000 บาท ข. 27,500 บาท
ค. 23,000 บาท ง. 2,500 บาท
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ค. 23,000 บาท
8. ปีนี้บริษัทเสียภาษีเท่าใด
ก. 10,000 บาท ข. 6,000 บาท
ค. 2,400 บาท ง. 2,500 บาท
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ง. 2,500 บาท
9. กำไรสุทธิเท่ากับเท่าใด
ก. 10,000 บาท ข. 12,500 บาท
ค. 17,000 บาท ง. 12,000 บาท
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ก. 10,000 บาท
10. Interest Coverage Ratio เท่ากับเท่าใด
ก. 3.78 เท่า ข. 2.74 เท่า
ค. 1.45 เท่า ง. 8.00 เท่า
จ. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ ก. 3.78 เท่า
อัตราส่วนคุ้มครองดอกเบี้ยจ่าย = (กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษี) / (ดอกเบี้ยจ่าย)
= 17,000 / 4,500 = 3.72